“Trick or Treat” กิจกรรมยอดฮิตของเด็ก ๆ ที่จะแต่งตัวเลียนแบบภูต ปีศาจ ฮีโร่ หรือตัวการ์ตูนที่ชอบ เดินไปเคาะประตูตามบ้าน แล้วกล่าวคำว่า “Trick or Treat” ที่แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง ในเทศกาลวันฮาโลวีน (Halloween) วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี
วันฮาโลวีน (Halloween day) หรือที่เรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี มีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลต์มีความเชื่อว่าเป็นวันที่โลกนี้และโลกหน้าโคจรมาใกล้กันมากที่สุด ทำให้พวกเขาต้องหาทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงร่าง จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมการแต่งตัวเป็นภูต หรือปีศาจ จนปัจจุบันได้กลายเป็นเทศกาลที่ผู้คนออกมาแต่งตัว สร้างสีสัน และรอยยิ้มเสียมากกว่า
แต่รู้หรือไม่ “ลูกอม” หรือ “Candy” ที่เป็นขนมยอดนิยมในการเล่น “Trick or Treat” ก็มีส่วนประกอบมาจากเคมีเหมือนกัน โดยเริ่มจากองค์ประกอบหลักของลูกอมหรือก็คือสารให้ความหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำตาลทราย (Sucrose) น้ำเชื่อมกลูโคส (Glucose syrup) หรือ น้ำตาลฟรักโทส (Fructose syrup) เป็นต้น แต่ในปัจจุบันได้มีเทรนด์รักสุขภาพมากขึ้น ที่จะใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่าง ซอร์บิทอล (Sorbitol) แมนนิทอล (Mannitol) แทนน้ำตาลกลูโคส และในลูกอมยังมีสารเติมแต่งในอาหาร / วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) เช่น สารเติมแต่งรสหรือกลิ่น (Flavoring agent) หรือ สารแต่งสี (Coloring agent) เป็นต้น
นอกจากนี้ลูกอมยังมีส่วนประกอบของสารเคมีสกัดอื่น ๆ อีก เช่น กรดอินทรีย์ (Organic Acid) ที่มักจะใช้เป็นสารเติมแต่งในอาหาร หรือ วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) โดยกรดที่นิยมใช้ในการผลิตลูกอม ได้แก่
เป็นกรดอ่อน (weak acid) พบตามธรรมชาติในอาหารหลายชนิดได้แก่ พืชตระกูลส้ม (citrus) เช่น ส้ม มะนาว และผลไม้อีกหลายชนิด
ทั่วไปแล้วกรดซิตริกผลิตจากน้ำมะนาว แต่ในปัจจุบันนิยมสังเคราะห์กรดซิตริกจากการหมักกากน้ำตาลด้วยจุลินทรีย์ โดยจุลินทรีย์ที่นิยมใช้มี 2 ประเภทคือ เชื้อรา Aspergillus Niger และยีสต์ Cadida Lypolitica
กรดซิตริกมีหน้าที่ :
- ปรับความเป็นกรดในอาหาร และเครื่องดื่ม
- ปรุงแต่ง กลิ่นรส (flavoring agent) ปรับให้อาหารมีรสเปรี้ยว
- เป็นสารกันหืน (antioxidant)
- เป็นสารกันเสีย (preservative)
- สารช่วยจับอนุมูลอิสระ (Sequestrant)
พบตามธรรมชาติในผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น มะขาม และเป็นกรดที่สามารถพบได้ในไวน์
กรดทาร์ทาริกมีหน้าที่ :
- เสริมฤทธิ์กันหืน
- ช่วยจับอนุมูลโลหะ (chelating agent)
- อิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) ช่วยทำให้อิมัลชันมีความคงตัว
- ปรับความเป็นกรดในอาหาร และเครื่องดื่ม
สามารถพบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในผลไม้ชนิดแอปเปิ้ลและองุ่น
กรดมาลิกมีหน้าที่ :
- ใช้เพื่อควบคุมความหวาน แต่งรส
- ยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์
- สารช่วยจับอนุมูลอิสระ (Sequestrant)
- ปรับความเป็นกรด
Tips : สารช่วยจับอนุมูลอิสระ (Sequestrant) มีหน้าที่เป็น Chelating Agent ถูกนำมาในการถนอมอาหาร โดยทำปฏิกิริยากับโลหะ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของอาหารโดยธรรมชาติ เนื่องจาก โลหะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาหารเสื่อมเสีย (food spoilage) เช่น การออกซิเดชันของลิพิด (lipid oxidation) ที่ทำให้อาหารมี สี กลิ่น รส และคุณค่าทางโภชนาการ เปลี่ยนไป
แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะสงสัยว่า ‘วัตถุเจือปนอาหาร หรือ Food Additive’ มีอันตรายหรือไม่ เราจะมารู้ตอบกัน
Food Additive หรือ วัตถุเจือปนอาหาร คือสารที่เพิ่มเข้าไปในอาหารเพื่อเพิ่มคุณสมบัติของอาหาร สารเหล่านี้มักถูกใช้ในอาหารเพื่อเพิ่มรสหรือกลิ่นของอาหาร, ป้องกันการเสียหายจากจุลินทรีย์, ควบคุมความเหลวหรือความแข็ง และรักษาความสดใหม่ของอาหาร ซึ่งมีผลต่อคุณภาพ มาตรฐาน หรือลักษณะของอาหาร
การจัดแบ่งกลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร
โดยโคเด็กซ์ (Codex) ได้จัดแบ่งกลุ่มวัตถุเจือปนอาหารตามหน้าที่ ออกเป็น 27 กลุ่ม ดังนี้
Tip : Codex มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศให้เป็นมาตรฐานสากล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพอนามัยของ
ผู้บริโภคและเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในด้านการค้าระหว่างประเทศ
และในการใช้วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยปริมาณการใช้วัตถุเจือปนอาหาร ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ในแต่ละประเภทอาหารต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค จึงจำเป็นใช้ต้องมีการประเมินด้านความปลอดภัยโดย JECFA หรือผ่านการประเมินที่มีความเทียบเท่ากับ JECFA เพื่อกำหนดค่าความปลอดภัย (Acceptable Daily Intake: ADI) คือปริมาณของวัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive)ที่แสดงในรูปของมิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน โดยบริโภคได้ทุกวันตลอดชีวิตโดยไม่เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
องค์กรที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพและมาตรฐานของวัตถุเจือปนอาหาร
1. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ควบคุมการผลิต การนำเข้า การแจกจ่าย และออกกฏเกณฑ์เกี่ยวกับ อาหาร ยา วัตถุเสพติด เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย เครื่องมือแพทย์ สมุนไพร
2. Joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives (JECFA)
เป็นหน่วยงานรวมกันระหว่าง FAO ของ UN และ WHO ซึ่งทาง อย. ของเราให้การเชื่อถือและอ้างอิงมาตรฐานต่างๆ มีการกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานและค่าความปลอดภัยไว้ในมาตรฐานสากล (JECFA specification หรือ Codex Advisory Specification for the identity and Purity of food Additives) ของวัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) แต่ละตัว
3. European Food Safety Authority (EFSA)
เป็นหน่วยงานกลางของ EU ที่ออกกฏเกณฑ์และการควบคุมสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอาหารคนและอาหารสัตว์ ซึ่งรวมถึงการใช้วัตถุเจือปนอาหารด้วย ทั้งนี้ EFSA เป็นคนที่กำหนด E-number
ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลไปว่าลูกอมที่รับประทานนั้นจะอันตราย แต่หากบริโภคลูกอมที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักมาก ๆ อาจจะทำให้เกิดฝันผุ และโรคอ้วนตามมา ดังนั้นควรบริโภคแต่พอดีจะดีที่สุด
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนสนุกไปกับเทศกาลวันฮาโลวีน ด้วยความห่วงใย เอเพกซ์ เคมิเคิล
ขอขอบคุณ แหล่งที่มา